การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศีกษานั้นถือเป็นหนึ่งในภารกิจหลักและภารกิจสำคัญที่ทางโครงการเชฟรอน สนุกวิทย์ พลังคิดเพื่ออนาคต ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพราะการพัฒนาการศึกษาจะเกิดขึ้นได้นั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญก็คือครูจะต้องมีทักษะและกระบวนการสอนที่จะสามารถดึงความสนใจของเด็ก ให้เด็กเข้าใจและสามารถคิดวิเคราะห์ถึงองค์ความรู้ที่ได้รับเพื่อนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาได้
วิธีการพัฒนาครูภายใต้โครงการเชฟรอน สนุกวิทย์ฯ นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่การจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูผู้สอนโดยนำกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะเข้ามาใช้ การสร้างครูพี่เลี้ยงทางวิชาการ ซึ่งเป็นผู้มีความเข้าใจในหลักสูตร พฤติกรรมและกระบวนการเรียนการสอนของไทย มาถ่ายทอดแนะนำองค์ความรู้ต่างๆ ให้แก่ครูเพื่อสร้างให้เกิดวิธีคิดเป็นแนวทางเดียวกัน ตั้งแต่การกระตุ้นความสนใจเด็ก การวัดผล สามารถนำหลักสูตร อุปกรณ์จากโครงการไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการติดตาม ประเมินผลและแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างครูด้วยกันอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวคิดเรื่องชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือ PLC นั้น ในปัจจุบันยังเป็นเรื่องใหม่ของครูไทย และกำลังเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อกระบวนการพัฒนาครูในประเทศไทย PLC นั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2533 โดยภาคเอกชน ด้วยเห็นว่าแนวคิดการทำงานเป็นทีมและการทำงานร่วมกันนั้นจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต ในส่วนของภาคการศึกษาเองนั้นก็ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ เนื่องจากนักการศึกษาเชื่อว่าวัฒนธรรมการเรียนรู้ในโรงเรียนนั้นจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความสำเร็จของครูและสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นให้แก่นักเรียน
ในประเทศไทย สถาบันคุรุพัฒนาภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนแนวคิด PLC เพื่อให้ครูนำไปปฎิบัติใช้ โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญในการสร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของครูต่อ PLC ก็คือการเชื่อมโยงการส่งเสริม PLC เพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้ในการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งครูที่เข้าร่วมการประชุม PLC จำนวน 50 ชั่วโมง หรือมากกว่า 5 ปีติดต่อกันสามารถส่งผลงานไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสะท้อนถึงสิ่งที่เรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะของครูได้
ดร. เกศรา อมรวุฒิวร ผู้จัดการอาวุโสด้านโครงการและวิชาการ และผู้จัดการการอาวุโสด้านการพัฒนาสะเต็มศึกษาภายใต้โครงการเชฟรอนสนุกวิทย์ฯ ได้กล่าวถึงรูปแบบการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพหรือ PLC ภายใต้โครงการว่า โครงการฯ ได้ขานรับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้นำแนวทางในการส่งเสริมการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถาบันคุรุพัฒนามาใช้ โครงการฯ ได้เริ่มจัดอบรมให้ครูให้สามารถมีองค์ความรู้ในการจัด PLC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างเครือข่ายสังคมแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพภายใต้โครงการฯ ไปแล้วมากกว่า 60 เครือข่าย จากโรงเรียนที่เข้าร่วมประมาณ 240-300 โรงเรียนทั่วประเทศ วิธีการสำคัญที่โครงการนำมาใช้ ก็คือการเปิดชั้นเรียน หรือ Open Classroom approach เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมจากครูเพื่อการหารือร่วมกันในการสร้างการเรียนรู้ของนักเรียน ครูจะตั้งเป้าหมายในการปรับปรุงวางแผนบทเรียนร่วมกันและเยี่ยมชมห้องเรียนของกันและกัน เพื่อสังเกตการณ์และสะท้อนถึงวิธีที่นักเรียนเรียนรู้ เพื่อนำไปปรับบทเรียนและปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
ผลลัพธ์ที่สำคัญที่โครงการได้จากการสร้าง PLC ได้แก่ ครูเริ่มตะหนักถึงความสำคัญของ PLC ว่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะมาช่วยต่อยอด เติมเต็ม อุดช่องว่าง และแก้ปัญหาที่ครูบางท่านอาจพบบ่อย แต่ก็ยังหาหนทางออกไม่ได้สักที
คุณครูกานต์พิชชา จูชาวนา หัวหน้ากลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ จากโรงเรียนบางกระทุ่มพิทยาคม จังหวัดพิษณุโลก กล่าวถึงผลลัพธ์ทางด้านบวกที่ได้รับหลังจากเข้าร่วมอบรมด้าน PLC กับโครงการฯ ว่า “ก่อนหน้านี้ มักคิดกิจกรรมใหม่ๆ ที่จะนำมาสอนเด็กไม่ค่อยได้มากนัก แต่หลังจากได้ร่วมกิจกรรม PLC แล้ว การแลกเปลี่ยนวิธีการสอน และถกถึงปัญหาที่มักพบบ่อยในชั้นเรียนของตนกับครูท่านอื่นๆ จากโรงเรียนอื่น ทำให้ได้แนวคิดและรูปแบบใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์กิจกรรมให้แก่เด็กในห้องเรียนมากขึ้น พร้อมได้รับคำตอบและคำแนะนำมากมายต่อปัญหาในการสอนอื่นที่พบ นอกจากนี้ การวางแผนการสอนร่วมกัน ก็ได้ปรับเปลี่ยนกลวิธีการสอนในห้องเรียนของตนจนทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย”
การนำ PLC ไปใช้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ครูสามารถช่วยแก้ปัญหาของตนเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแก้ปัญหาทางโครงสร้างของการศึกษาภาษาไทยได้หลายอย่าง
ประการแรก PLC จะเปลี่ยนศูนย์กลางของการทำงานของครูไป จากการทำงานคนเดียว การวางแผนการสอนทั้งหมดด้วยตนเองคนเดียว เป็นการร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ไขแบบหมู่คณะและสร้างสังคมการทำงานและเรียนรู้ร่วมกันแบบกัลยาณมิตร ซึ่งจะเป็นวิธีการใหม่ในการเสริมสร้างศักยภาพของครูผู้สอนที่จะสร้างวิธีการสอนที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อเป้าหมายในการสร้างองค์ความรู้ให้แก่เด็กในชั้นเรียนเป็นสำคัญ
ประการที่สอง คือการเสริมสร้างแนวคิดในการทำงานเป็นทีม การทำงานร่วมกันและสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ครูจะทำงานแบบกลุ่มเพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนและแก้ไขปัญหาที่พบบ่อยในโรงเรียนและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันว่าการสอนของพวกตนต้องการปรับเปลี่ยนหรือไม่
ประการที่สาม PLC สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 15,000 แห่งที่ครูอาจยังขาดความรู้ในด้านเนื้อหาบทเรียนและขาดการจัดการห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้สามารถได้รับคำแนะนำความรู้ด้านการสอน และเทคนิคต่างๆ โดยครูจากโรงเรียนอื่นๆในพื้นที่เดียวกัน สามารถเข้าเยี่ยมชมและให้การสนับสนุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนขนาดเล็กได้
สุดท้าย PLC เน้นไปที่ผลลัพธ์ที่นักเรียนจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนในห้องเรียนของครูเป็นสำคัญ เพราะปัจจัยสำคัญต่อการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะของครูที่นำเอาการมีส่วนร่วมด้าน PLC มาใช้นั้น ก็คือ ผลลัพธ์และความเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนที่ครูจะต้องบันทึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปอ้างอิงต่อการประเมินผลความก้าวหน้าทางวิชาชีพของพวกเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงผลการเรียนของนักเรียนต่อไป
Newsletter Issue 23 TH Final