Alienum phaedrum torquatos nec eu, vis detraxit periculis ex, nihil expetendis in mei. Mei an pericula euripidis, hinc partem.
 

ถ้าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง ทำไมเราถึงมองเห็นสายรุ้งเป็นเส้นโค้ง?

เมื่อ จุลงกรณ์ พัทธเมฆ หรือ ฟอร์ซ อายุได้ 13 ปี อาจารย์ฟิสิกส์ได้ถามคำถามข้างต้นกับเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฟิสิกส์ได้กลายเป็นสิ่งที่ฟอร์ซให้ความสนใจแทบจะทุกๆ ขณะของชีวิต

เมื่อ ฟอร์ซได้รับโจทย์ในชั้นประถม ให้จดจำชื่อเรียกของเลขฐานสิบในแต่ละหน่วย ไล่ตั้งแต่ 10-18 ไปจนถึง 1018 ฟอร์ซกระตือรือร้นที่จะหาคำตอบของโจทย์นั้น ตัดภาพมาที่ห้องพักครู 11 ปีต่อมา เขายังท่องชื่อเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน “เอกซะ (Exa), เพตะ (Peta), เทระ (Tera), จิกะ (Giga), เมกะ (Mega), กิโล (Kilo),…”

“ฟิสิกส์คือการศึกษาธรรมชาติ” อาจารย์ฟอร์ซกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฟิสิกส์คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเรา”

แม้จะรู้ตัวว่าเขาชอบฟิสิกส์ อาจารย์ฟอร์ซต้องเลือกว่าจะเรียนคณะครุศาสตร์หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย “ตอนแรกผมกลัวว่าการสอนนักเรียนนั้นอาจจะน่าเบื่อ” เขายอมรับ “ผมเบื่อง่ายมากถ้าต้องทำสิ่งที่ซ้ำๆ เดิมๆ”

อย่างไรก็ตาม ฟอร์ซเล่าให้ฟังถึงความภาคภูมิใจทุกครั้งที่มีนักเรียนเรียกเขา “อาจารย์ อาจารย์!” หลังจากคาบเรียนเพื่อถามคำถาม เขากล่าวเสริมอย่างหนักแน่นว่า “ความรับผิดชอบของคนเป็นครูนั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ”

ในขณะที่อายุ 24 ปี อาจารย์ฟอร์ซอายุเยอะกว่านักเรียนของเขาในภาควิชาปิโตรเคมีและไฟฟ้า ที่วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด จังหวัดระยอง เพียงปีเดียวหรือ 2 ปีเท่านั้น ในชั้นเรียนมีเพียงเสื้อเครื่องแบบอาจารย์สีแดง และท่าทางความมั่นใจเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเขาเป็นอาจารย์

“การสอนเป็นสิ่งที่ยาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการเตรียมการเรียนการสอนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะให้นักเรียนเรียนรู้จากเพียงทฤษฎี”

“หลังจากร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ผมรู้ทันทีว่าผมสามารถทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง”

จากการสอนนักศึกษาอาชีวะเพียง 9 เดือน การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพแก่ครูผู้สอนนั้น สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้อาจารย์ใหม่อย่างฟอร์ซ

ในปีนี้ อาจารย์ฟอร์ซได้รับเชิญจากโครงการ Chevron Enjoy Science ให้เข้าฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของครูผู้สอน ภายใต้โปรแกรม “STEM for TVET” ซึ่งให้ความสำคัญกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ในสถาบันอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเทคนิคต่างๆ (TVET)

โครงการ Enjoy Science ได้จับมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ จัดเตรียมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพครูวิทยาศาสตร์ สำหรับสถาบันอาชีวศึกษาต่างๆ ภายใต้ศูนย์ TVET hub ทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โครงการ Chevron Enjoy Science ได้อำนวยความสะดวกทั้งด้านการเดินทางและที่พักให้คณะครูอาจารย์อย่างอาจารย์ฟอร์ซ ได้เดินทางมาที่กรุงเทพ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรแอคทีฟฟิสิกส์ (Active Physics)

หลักสูตรแอคทีฟฟิสิกส์ ใช้กระบวนการแบบสืบเสาะที่ใช้โครงงานเป็นฐาน (project-based inquiry approach) ในการเรียนฟิสิกส์ โดยหลักสูตรนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแนวการเรียนการสอนที่นานาชาติให้การยอมรับ ซึ่งได้ปรับให้เหมาะกับการใช้งานในไทย โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของไทย โครงการฯ ได้แปลและอธิบายบริบท จากหนังสือเรียนที่ต้นฉบับตีพิมพ์โดยองค์กรสะเต็มศึกษา Activate Learning ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวยอร์ก

ในกิจกรรมอบรม เหล่าครูจะได้ลองซักซ้อมแผนการเรียนการสอนความรู้ใหม่ๆ ไปพร้อมกับครูวิทยากร หนึ่งในบทเรียน ได้แก่ การสร้างเสียงเพลงจากหลอดทดลองที่เติมของเหลวไว้หลากหลายระดับ โดยอาจารย์ฟอร์ซได้โชว์เล่นเพลงแมงมุมลายตัวนั้น เรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือจากครูท่านอื่นได้เป็นอย่างดี

“ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ Enjoy Science ผมต้องการจะสร้างกิจกรรมบางอย่าง แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมอบรม ผมรู้ทันทีว่าผมสามารถทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง” อาจารย์ฟอร์ซกล่าว

เมื่อกลับไปที่วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด พร้อมกับสื่อการเรียนการสอนแอคทีฟฟิสิกส์ อาจารย์ฟอร์ซได้เริ่มทดลองกิจกรรมต่างๆ กับชั้นเรียนที่เขาสอนอยู่ทันที

“บทเรียนเกี่ยวกับเสียงประสบความสำเร็จมากผมให้นักเรียนตัดหลอดด้านนึงให้เป็นตัววี พอลองเป่าดู ก็จะเกิดคำถามว่าทำไมด้านที่แหลมถึงมีเสียงขึ้นมาได้ ในขณะที่ด้านตรงถึงไม่มีเสียง? แล้วเสียงนั้นมาจากไหน?”

อาจารย์ฟอร์ซอ้าแขนออก “เป็นเพราะการสั่นสะเทือน ในด้านที่แหลม ปลายแหลมสองข้างสะบัดกระทบกันไปมา ทำให้เกิดเป็นคลื่นเสียง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมวาดภาพแผนผังลงบนกระดาษ เพื่อสาธิตให้ดูอย่างชัดเจน

“ผมได้ใช้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่มีในสื่อการเรียนการสอนของแอคทีฟฟิสิกส์” ด้วยสื่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กว่า 35 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดน้ำหนัก เลเซอร์ ปริซึม รอก หลอดไฟ เลนส์นูน เบ็ดตกปลา และลวดสปริง บทเรียนก็หลากหลายตั้งแต่การมองเห็นไปจนถึงเรื่องการเคลื่อนที่แบบโปรเจคไตล์

 “สิ่งที่ดีที่สุดของการสอน คือการที่ได้เห็นนักเรียนตื่นเต้นและสนุกกับการเรียนรู้” “เมื่อคุณสามารถนำเสนอบทเรียนที่เป็นรูปธรรมชัดเจน พวกเขาก็จะเข้าใจคอนเซปต์ได้อย่างง่ายดาย”

เป้าหมายของอาจารย์ฟอร์ซคือการทำให้นักเรียนทุกคนเข้าใจฟิสิกส์อย่างถ่องแท้ “ความเข้าใจมี 2 ประเภท” “แบบแรกคือความเข้าใจระยะสั้นที่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่หลังจากนั้นพวกเขาจะลืม แต่แบบที่สองนั้นคือการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนักเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการทำงานของพวกเขาในอนาคต”

อาจารย์ฟอร์ซยืนยันว่าความเข้าใจที่ลึกซึ้งรูปแบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเชิงโครงงาน ได้ลงมือทำและซักถามด้วยตนเอง เมื่อนักเรียนมีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการในแต่ละบทเรียน การเรียนรู้ที่ยั่งยืนก็จะเกิดขึ้นทันที ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนได้รับโจทย์ให้ลองจัดการกับความสัมพันธ์ ระหว่างความเร่งและแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ตกพื้นแตก ฟิสิกส์ไม่ควรเป็นเพียงสูตรมากมายบนกระดานดำ แต่ควรจะช่วยตอบโจทย์ระหว่างการแตกของไข่ และพาหนะที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไข่แตกมากกว่า

“ผมจะเชิญอาจารย์ท่านอื่นๆ ให้มาที่ชั้นเรียนของผม” “และลองให้พวกเขาเปรียบเทียบชั้นเรียนที่มีและไม่มีกิจกรรม ว่าแบบไหนที่นักเรียนจะสามารถจดจำความรู้ที่ได้ยาวนานกว่ากัน?”

“ฟิสิกส์เป็นพื้นฐานสำคัญของช่างเทคนิค”

“นักเรียนไทยไม่ชอบฟิสิกส์” อาจารย์ฟอร์ซกล่าว

เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีจะไม่ได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษาอาชีวะ พวกเขาชอบวิชาปฏิบัติการมากกว่า เพราะพวกเขาสามารถเสริมสร้างทักษะ และได้ลงมือทำจริง อย่างไรก็ตาม พื้นฐานที่แข็งแรงของสะเต็มศึกษาก็ยังจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอาชีพของนักเรียนนักศึกษาในอนาคต

“หากเครื่องจักรหนัก 100 กิโลกรัม ส่วนไหนของคานงัดที่คุณควรใช้แรง เพื่อที่จะเปิดเครื่องจักร? หรือหากมีรอยรั่วเกิดขึ้นที่โรงงานปิโตรเคมี คุณต้องมีความรู้ความเข้าใจว่าของเหลวและก๊าซเดินทางอย่างไร และแรงกดอากาศทำงานอย่างไร เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมรอยรั่วนั้นถึงเกิดขึ้น” อาจารย์ฟอร์ซอธิบาย

จากการเติบโตของอุตสาหกรรมหนักในไทย โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานปิโตรเคมี ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่โครงการอีอีซีมาเป็นเวลากว่า 30 ปี เห็นได้ชัดว่ามีความต้องการแรงงานช่างเทคนิคที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก รัฐบาลคาดการณ์ว่าโครงการอีอีซีจะสามารถสร้างงานทางด้านการผลิตและการบริการได้กว่า 100,000 ตำแหน่งต่อปี ภายในปี 2563 อีกด้วย

ข้างหลังโต๊ะของอาจารย์ฟอร์ซในห้องพักครูที่วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด ผนังเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของโรงงานต่างๆ ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรม “s-curve” ทั้งเก่าและใหม่ของประเทศไทย สถานประกอบการซึ่งนักศึกษาจำนวนมากจะไปร่วมงานในอนาคต

วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด ห่างจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไม่ถึง 10 กิโลเมตร โดยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นนิคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางด้านปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก เป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึก และโรงงานกว่า 151 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยโรงงานปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน และโรงงานเหล็ก ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงอุตสาหกรรม

“ฟิสิกส์เป็นพื้นฐานสำคัญของช่างเทคนิค” “แต่นอกจากความสำเร็จในการประกอบอาชีพในอนาคตของพวกเขา ผมหวังว่านักเรียนของผมจะไม่ลืมว่าฟิสิกส์คือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวเรา” เขากล่าวทิ้งท้าย

Date

November 30, 2018

Category

Beneficiaries